Latest Movie :
Recent Movies

Blogger


Jorn Barger

 
     บล็อก (Blog) คือ คำว่า “Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี 1997 ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปีค.ศ.1999 และจนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ.2003 ทางOxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004






     สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log)
โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว

     แต่จากความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไป คำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้


     โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น

คำว่า “บล็อก” เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสารเมื่อปี 2542 แต่ผู้รวบรวมพจนานุกรมตั้งข้อสังเกตว่าการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และการประชุมใหญ่ของ พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันเพื่อรับรองชื่อ ผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนชาวสหรัฐฯ ผู้ติดตามข่าวสารส่วนใหญ่สนใจ และต้องการทราบความหมายที่แท้จริงของคำดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อคำศัพท์เหล่านั้นปรากฏเป็นข่าวพาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป
นอกเหนือจากคำว่า “บล็อก” แล้ว คำศัพท์ที่ติดอันดับถูกเข้าไปค้นหาความหมายสูงสุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ได้แก่ “อินคัมเบนท์” (incumbent) ซึ่งหมายถึงผู้อยู่ในตำแหน่ง, “อิเล็กทอรัล” (electoral) หรือคณะผู้เลือกตั้ง

     ขณะที่บางคำเป็นคำศัพท์ที่เกี่ยวเนื่องกับสงครามในอิรัก เช่น “สตอร์มส” (stroms) ซึ่งมีความหมายว่ าการโจมตีอย่างรุนแรง, “อิน-เซอร์เจ้นท์” (insurgent) หรือกองกำลังฝ่ายต่อต้านการปกครอง อิรัก, “เฮอร์ริเคน” (hurri- cane) ซึ่งหมาย ถึงผลกระทบอย่างรุนแรง, “เพโลตัน” (peloton) ที่แปลว่ากองทหารขนาดเล็ก และซิคาด้า (cicada) ซึ่งความหมายตามรูปศัพท์ แปลว่าจักจั่น


ที่มา : http://pimkookfay.blogspot.com/

ประวัติ instagram



เควิน ซิสตรอม และ ไมเคิล ไมค์ ครีเกอร์

Instagram คืออะไร
      Instagram อ่านว่า อินสตาแกรม คือ โปรแกรมที่สามารถนำรูปที่ถ่ายไว้ หรือรูปในแกลลอรี่มาตกแต่งให้สวยงามในสไตล์ของเราเอง ด้วยฟิลเตอร์ (Filter) และเครื่องมือที่มีอยู่ใน Instagram ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบให้เลือก แล้วนำรูปภาพที่ตกแต่งนั้นไปแชร์ให้เพื่อนๆ ใน Social Network ได้ดูกันอีก เช่น Twitter, Facebook, Foursquare หรือ Tumblr และในทางกลับกันเราก็สามารถเปิดดู แสดงความชื่นชอบ (Likes) และแสดงความคิดเห็น (Comments) ในรูปที่เพื่อนๆ ของเราแชร์ไว้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้ Instagram ได้รับความนิยมอย่างสูงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็คือการใช้งานที่ง่าย สะดวกรวดเร็ว มีผู้ใช้งานร่วมกันเยอะ (เพื่อนๆ ใช้กันเยอะ) มีอินเทอร์เฟสที่สวยงาม มีความสนุกอยู่ในตัว และยิ่งมีดาราดังชอบใช้กันอีกก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้กระแสของ Instagram แรงขึ้นตามลำดับ

ประวัติของ Instagram 
      Instagram ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาที่ ซานฟรานซิสโก โดย เควิน ซิสตรอม และ ไมเคิล ไมค์ ครีเกอร์ โดยคิดค้นโดยเน้นระบบ HTML5
      ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553 ซิสตรอม ได้ลงทุนอีก 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในการเพิ่มเติมแอปพลิเคชั่น
      Instagram ได้เปิดตัวบน แอพสโตร์ ของ แอปเปิล ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553 หลังจากนั้น จอร์ช รีเดล ได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ซึ่งในขณะนั้นในบริษัทมีพนักงานไม่ถึง 10 คน และต่อมา ก็ได้มีผู้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทเพิ่มเติม คือ เชน สวีนีย์ โดยเข้ามาใน เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ในตำแหน่งวิศวกร และ เจสสิกา โซลแมน ก็ได้เข้ามาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553
      ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2554 Instagram ได้เพิ่ม แฮชแท็ก ซึ่งเป็นระบบที่สามารถทำให้ป้ายชื่อที่พิมพ์ลงไปนั้น ค้นหาได้ง่ายขึ้น โดยการพิมพ์ “#” ตามด้วยป้ายชื่อที่จะพิมพ์ และต่อมาใน เดือนกันยายน Instagram ได้ปล่อยเวอร์ชั่น 2.0 ให้ดาวน์โหลด บน แอพสโตร์ โดยเพิ่มความสามารถของแอปหลายๆอย่าง
      ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 Instagram ได้ประกาศผลกำไรของบริษัท โดยอยู่ที่ 7 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ The deal valued Instagram at around $25 million.
      ต่อมาในวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555 หลังจากที่ได้รอคอยกันมานาน Instagram ได้ปล่อยแอปพลิเคชั่น ที่รองรับระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ และในสัปดาห์เดียวกัน บริษัทได้ประกาศผลกำไรของบริษัท โดยอยู่ที่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมูลค่าของบริษัทอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
      วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555 Facebook ได้เข้ามาซื้อกิจการ ในราคา 1 พันล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ Facebook มีบริษัทที่กว้างขวางมากขึ้น โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประธานบริษัทเฟซบุ๊คกล่าวว่า “committed to building and growing Instagram independently” โดยแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า จะมุ่งมั่นเพื่อสร้าง Instagram ให้ก้าวหน้าต่อไป


ที่มา: https://chintanalunla.wordpress.com/2013/08/24/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-instagram/


ประวัติ LINE

    เคยสงสัยกันบ้างมั้ยคะว่าแอพพลิเคชั่น LINE ที่เราใช้แชทกับเพื่อนในโทรศัพท์มือถือ (หรือในคอมพิวเตอร์) นั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร



      LINE Application นั้นเป็นโปรแกรมที่ถูกสร้างขี้นในช่วงกลางปี 2010 โดยการร่วมมือของบริษัท Naver Japan Corporation และบริษัท livedoor โดยมี NHN Japan เป็นผู้พัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ ของไลน์ และในส่วนของการตลาดด้านธุรกิจนั้นยกให้บริษัทแม่ที่เกาหลี NHN Corporation จัดการ หลังจากที่เปิดตัวได้เพียงไม่นาน ก็ได้รับการตอบรับถึงหลายสิบล้านยูสเซอร์ในญี่ปุ่น ประเด็นแรกที่ใช้ในการสร้างโปรแกรมแชท LINE ขึ้นมาก็มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ภูมิภาค Tohoku เมื่อต้นปี 2011 นั่นเอง ในตอนนั้นระบบการติดต่อทางการโทรศัพท์ล่มอย่างไม่เป็นท่า ทำให้ NHN Japan ตัดสินใจออกแบบ App ที่สามารถใช้ได้ทั้งบนมือถือ บนแท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์พีซี ซึ่งจะทำงานบนเครือข่ายข้อมูลที่สามารถแชทตอบโต้ได้รวดเร็วและต่อเนื่อง

      ด้วยความที่ไลน์มีคุณสมบัติของโปรแกรมแชทครบถ้วน ตั้งแต่ แชท ส่งไฟล์รูป ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง ระบบการค้นหาเพื่อนด้วย QR Code หรือจะเกมไว้คลายเครียด ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของแอพพลิเคชั่นนี้ก็ว่าได้ค่ะ นั่นก็คือ “Sticker” นั่นเอง และในตอนนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง “สติกเกอร์” กันนะคะ โดยจะขอแนะนำตัวการ์ตูนหลักๆ ของสติกเกอร์ในไลน์ที่เป็นมาสค็อตที่เห็นกันบ่อยๆ และคิดว่าทุกคนต้องเคยใช้มาแล้วมาเริ่มจาก

      Moon เป็นสติกเกอร์หัวกลม ตัวสีขาว เป็นสติกเกอร์พื้นฐานของผู้เล่นไลน์กันเลยทีเดียว เพราะมีแทบจะทุกอารมณ์ที่ผู้เล่นต้องการ สติกเกอร์ตัวนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้เล่นไลน์ต้องใช้กันอย่างน้อยคนละ 2 ครั้งแน่ๆ

     Cony  เป็นสติกเกอร์กระต่ายสีขาว หูด้านในสีชมพู ด้วยความที่เป็นกระต่ายและแสดงอีโมชั่นผ่านท่าทางและใบหน้าออกมาได้น่ารัก หลายๆ คนจึงชอบใช้สติกเกอร์โคนี่กัน โคนี้มักจะมาพร้อมกับบราวน์

     Brown เป็นหมีสีน้ำตาล หน้านิ่งแต่แสดงอารมณ์ออกมาทางการกระทำได้น่ารักมากๆ ค่ะ แต่ก็มีกลุ่มคนไม่น้อยที่ชื่นชอบความแบ๊วซื่อๆ ของเจ้าสติกเกอร์ตัวนี้ และบราวน์มักจะมีสติกเกอร์คู่กับโคนี่

      James เป็นสติกเกอร์หนุ่มเจ้าสำอาง มีจุดเด่นคือเป็นคนจริงๆ และผมสีทอง มาในชุดเสื้อขาว กางเกงดำ ชอบทำหน้าแบบหลงตัวเอง เจมส์เป็นอีกหนึ่งสติกเกอร์ที่เป็นที่นิยมมากเพราะ “ความฮา” ของเค้านี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะทำหน้าหล่อ หรือแม้แต่ท่านอนตายแบบสิ้นหวัง เจมส์มีหมด

และ Sally เป็ดเหลืองตัวจิ๋วมักจะมาแจมกับคาแร็กเตอร์ตัวอื่นๆ อยู่เสมอ

     นอกจากนี้ คาแรคเตอร์หลักของไลน์ยังถูกนำไปเป็นอนิเมชั่นในชื่อ Line Offline Salaryman Stamp อนิเมไลน์นี้เริ่มฉายเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2013 ทางโตเกียวทีวี ใน 1 ตอนจะมีความยาวเพียงแค่ 4 นาทีเท่านั้น ช่วงเวลาการฉายอยู่ที่ 01.30 – 01.35 น. ตามเวลาญี่ปุ่นนะคะ คาแร็คเตอร์ไลน์แต่ละตัวจะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นพนักงานเงินเดือน ปัจจุบันมีหลายตอนแล้ว

     ล่าสุดนี้ ทาง NAVER ได้มีการฉลองให้กับผู้ใช้งานไลน์เกิน 100 ล้านคน ด้วยการแจกสติกเกอร์ 7 วัน 7 แบบให้ไปสะสมกับฟรีๆ โดยไม่เสียเงินค่ะ โดยวิธีการโหลดคือ 1 วันต่อ 1 คาแร็คเตอร์ ตั้งแต่วันที่ 18-24 มกราคม 2556 ลายของสติกเกอร์ที่แจกมีดังนี้ค่ะ

Moon Special Edition / Cony Special Edition / Brown Special Edition / Don’t Lose Your Soul / Hurricane Project / Jungle High / Listen to Your Heart


LINE เผยประวัติความสำเร็จและข้อมูลสถิติล่าสุดของผู้ใช้งานทั่วโลก

1. จำนวนผู้ใช้
– ญี่ปุ่น: 41.51 ล้าน, ไทย: 12.27 ล้าน, ไต้หวัน: 11.83 ล้าน, ประเทศอื่นๆ: 34.39 ล้าน
– สัดส่วนระหว่างญี่ปุ่น ต่อ ประเทศอื่นๆ = 4:62. ท๊อป 5 ประเทศ (จากจำนวนผู้ใช้มากสุด)
– ญี่ปุ่น ไทย ไต้หวัน เกาหลี สเปน

[adsense]3. ประเทศและภูมิภาคที่ LINE ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแอพฯ อันดับ 1 โดย App Store/Google Play (ในประเภทแอพฯ ฟรี)
– เอเชีย
– ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว คีร์กิซสถาน ตุรกี บาร์เรน อุซเบกิสถาน คาซัคสถาน จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต อิสราเอล การต้าร์ ซาอุดิ อาเรเบีย โอมาน
– ยุโรป
– รัสเซีย เบลารูส สเปน สวิสเซอร์แลนด์
– อเมริกาเหนือ
– โดมินิแคน รีพับลิค เอล ซาวาดอร์ ปานามา ฮอนดูรัส
– อเมริกาใต้
– เอควาดอร์ เวเนซูเอล่า อาร์เจนติน่า เปรู ชิลี โบลิเวีย ปารากวัย อุรุกวัย
– แอฟริกา
– มาลิ แองโกล่า
– โอเชียน่า
– ปาปัวนิวกินี

4. ความถี่ในการใช้งาน
– 80.3% ต่อเดือน (นับถึงเดือนธันวาคม 2555)
5. จำนวนผู้ลงทะเบียนใช้งานสูงสุดต่อวัน
– 600,000 คน (นับถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2555)
6. รางวัลที่ได้รับ
– รางวัล iTunes ยอดเยี่ยมประจำปี 2555 : อันดับ 1 ประเภทฟรีแอพลิเคชั่น (ประเทศญี่ปุ่น)
– รางวัล iF ดีไซน์ ปี 2556 : รางวัลสื่อโฆษณา
– รางวัลดีไซน์ดีเยี่ยมเหรียญทอง ปี 2555
– รางวัลเทรนด์ Shogakukan Dime ปี 2555
– รางวัลทีมงานยอดเยี่ยม ปี 2555
– รางวัล AMD Digital Contents ครั้งที่ 17 ประจำปี 2556
– รางวัล Nikkei Sangyo Shimbun: Nikkei Superior Products Service ปี 2555
– รางวัล Nikkei MJ Hit Products ปี 2555
– รางวัล Nikkei Trendy: Hit Products ปี 2555 : อันดับ 2 จาก 30 ลำดับ
– รางวัล Top Worldwide in Non-Game Apps by Monthly Revenues for iOS/Google Play (พฤศจิกายน 2555)
– รางวัล elEconomista: Nominated for Best Technology (ประเทศสเปน)
– รางวัล EL PAIS: Nominated for Best Trend (ประเทศสเปน)
7. ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแอพฯของ LINE
– มีจำนวนทั้งหมด 24 แอพฯ (ไม่รวมแอพฯบนเว็บไซต์)
– จำนวนยอดดาวน์โหลดสูงถึง 100 ล้าน
8. อันดับความนิยมของสติ๊กเกอร์ทั่วโลก

ประวัติความสำเร็จของ LINE







ที่มา: https://sirinipha1.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-line/

ประวัติ yahoo

      
      เดือนมกราคมปี 1994 คู่หูนักศึกษาสแตนฟอร์ดสองคน เจอร์รี่ หยาง และ เดวิด ไฟโล ได้สร้างเว็บไซต์ที่ชื่อว่า "Jerry's Guide to the World Wide Web"เป็นเว็ปไซ์ประเภทที่รวบรวมlinkต่างๆเข้าเป็นหมวดเป็นหมู่ เพื่อง่ายต่อการค้นหา หลังจากนั้นเดือนเมษายนของปีนั้น ชื่อของเว็ปไซต์ก็ได้เปลี่ยนเป็น YAHOO!(ชื่อเต็มมีชื่อว่าYet Another Hierarchical Officious Oracle) และในตอนนั้นในชื่อwebว่า akebono.stanford.edu/yahoo และในปลายปีนั้นYAHOO! ได้รับการตอบรับที่ดีมาก มียอดการใช้งานเว็ปไซต์ถึง 1 ล้านฮิตเลยที่เดียว ดังนั้นคู่หูคู๋นี้จึงคิดว่าเว็ปไซต์ที่เค้าคิดขึ้นมาทำเพื่อสนุกๆ อาจสามารถทำเปนธุรกิจได้ก็ได้ และในเดือน มีนาคม ปีถัดไปนั้นเอง พวกเค้าจึงจัดตั้งYAHOOขึ้นเป็นบริษัท
         
       YAHOO!     คล้ายกับเว็บเสิร์ชเอนจิน และเว็บไดเร็คทอรี่หลายๆ แห่ง YAHOO!ได้ขยายตัวเองเป็นเว็ปท่า และในช่วงปลายทศวรรษ 90 เว็ปท่าต่างๆเติบโตกันอย่างรวดเร็ว เว็ปท่าต่างๆได้ควบซื้อกิจการของบริษัทอินเทอร์เน็ตต่างๆ หลายต่อหลายบริษัทเพื่อขยายขอบข่ายการให้บริการเพื่อที่ว่า คนที่ใช้งานบนโลกอินเตอร์เน็ตนั้นจะใช้งานอยู่ในเว็ปของพวกเค้านานขึ้น
 

รู้มั๊ยทำไมYAHOOต้องมีสัญลักษณ์ !
          เพราะในช่วงนั้นชื่อนี้ดันไปเป็นชื่อตราสินค้าของซอสบาบีคิวนั้นเอง ดังนั้นวิธีที่ทำให้ได้ชื่อ YAHOO นี้มาเป็นเจ้าของจึงต้องมีสัญลักษณ์ ! หรือก็คือเครื่องหมายอัศเจร๊ย์นั้นเอง ตามท้ายด้วย แต่ก็เป็นที่น่าแปลกเวลาคนใช้ YAHOO ที่ไหร่มักลืมเครื่องหมายอัศเจร๊ย์นี้ทุกที!!! สำหรับครายที่อยากเข้าไปดูเว็ป YAHOO ของไทยนั้นกดตาม link นี้ได้เลยครับ http://th.yahoo.com มีอข้อมูลข่าวสารน่าสนใจเยอะพอดูไงก็เข้าไปชมกันได้

เพิ่มเติม
          เว็ป YAHOO! เกิดขึ้นในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน โดยที่ทั้งสองนั้น คิดกันว่าหาอะไรทำในช่วงปิดเทอมดี จึงตกลงทำโปรแกรมเพื่อหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต โดยใส่คำที่ค้นหาและรวบรวมเว็ปต่างๆลงในตัวโปรแกรม และตั้งชื่อโปรแกรมว่า YAHOO เพราะเป็นคำที่ฝรั่งใช้ตะโกนกันบ่อยๆ ปรากฏว่ามีคนเข้าใช้บริการเป็นจำนวนมาก เนื่องจากฟรีนั้นเอง ทางYAHOO เลยหารายได้จากการเปิดรับโฆษณา  กิจการของ YAHOO จึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็ติดอันดับบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา 150บริษัท โหดมากขอบอก!!  สำหรับบริษัทสำนักงานของ YAHOO นั้นตั้งอยู่ที่เมืองซานตาคลารา รัฐแคลิฟอร์เนีย กิจการขยายตัวไปได้เรื่อยๆ ตอนนี้มีบริการข่าวสารต่างๆ ห้องchatr room และบริการต่างๆอีกมากมาย แต่ในเรื่องการค้นหาข้อมูลนั้นก็ยังได้รับความนิยมอยู่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าในทุกวันนี้จะมีคู่แข่งมากขึ้นทุกที

ที่มา : http://narakmaika.exteen.com/20090917/yahoo

ประวัติ youtube


     ยูทูบ (YouTube) เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดและแลกเปลี่ยนคลิปวีดีโอผ่านทางเว็บไซต์ ก่อตั้งเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 โดย แชด เฮอร์ลีย์, สตีฟ เชง และ ยาวีด คาริม อดีตพนักงานบริษัทเพย์พาล ในปัจจุบันยูทูบมีพนักงาน 67 คน และมีสำนักงานอยู่ที่ ซานบรูโนในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิล

     การทำงานของเว็บไซต์แสดงผลวีดีโอผ่านทางในลักษณะ อะโดบี แฟลช ซึ่งเนื้อหามีหลากหลายรวมถึง รายการโทรทัศน์มิวสิกวิดีโอ วีดีโอจากทางบ้าน งานโฆษณาทางโทรทัศน์ และบางส่วนจากภาพยนตร์ และผู้ใช้สามารถนำวีดีโอไปใส่ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้ ผ่านทางคำสั่งที่กำหนดให้ของยูทูบ ยูทูบถือว่าเป็นหนึ่งในเว็บ 2.0 ชั้นนำของอันดับต้น ๆ ของโลก

     ยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มีภาพโป๊เปลือย และคลิปที่มีลิขสิทธิ์นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง โดยผู้ใช้สามารถทำการแจ้งลบได้

     ในวันที่ 9 ตุลาคม 2549 กูเกิลได้ประกาศซื้อบริษัทยูทูบเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1.65 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และในวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ยูทูบ ได้เพิ่มโดเมนไปอีก 9 แห่ง สำหรับ 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ โปแลนด์ สเปน ไอร์แลนด์ และ สหราชอาณาจักร

รูปแบบวิดีโอ

     ยูทูบใช้งานโดยแสดงผลภาพวิดีโอในลักษณะของ แมโครมีเดีย แฟลช 7 และใช้การถอดรหัสแบบ Sorenson Spark H.263 แฟลชเป็นโปรแกรมเสริมที่ต้องติดตั้งเพิ่มสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป โดยแสดงผลที่ขนาดความกว้างและสูง 320 และ 240 พิกเซล ที่ 25 เฟรมต่อวินาที โดยมีการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 300 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งการแสดงผลสามารถดูได้ที่ขนาดปกติ หรือขนาดที่แสดงผลเต็มจอ

     ยูทูบแปลงไฟล์วิดีโอเป็นไฟล์ในลักษณะ แฟลชวิดีโอ ในนามสกุล .FLV ภายหลังจากผู้ใช้ได้อัปโหลดเข้าไป ไม่ว่าผู้อัปโหลดจะโหลดในลักษณะ .WMV .AVI .MOV .3GP MPEG หรือ .MP4

รูปแบบเสียง

     ไฟล์ในยูทูบเก็บในลักษณะสตรีมไฟล์MP3 โดยมีการเข้ารหัสแบบโมโนที่ 65 กิโลบิต/วินาที ที่ 22050 เฮิรตซ์ อย่างไรก็ตามยูทูบสามารถเก็บไฟล์เสียงในลักษณะสเตอริโอได้หากมีการแปลงเป็นไฟล์ FLV ก่อนที่ทำการอัปโหลด

การแสดงผล

      วิดีโอในยูทูบสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ยูทูบโดยตรงผ่านซอฟต์แวร์แฟลชที่กล่าวมา ดูได้ผ่านแอปเปิลทีวี ไอโฟน ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งนอกจากนี้ยูทูบสามารถดูได้จากเว็บไซต์ทั่วไปที่มีการนำรหัสไปใส่เชื่อมโยงกลับมาที่เว็บยูทูบเอง เห็นได้ตามเว็บบอร์ด และ Blog หรือ เว็บไซค์ต่างๆ

      นอกจากนี้สามารถเซฟไฟล์ยูทูบเก็บไว้ในเครื่องของตนเองได้โดยใช้งานซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่น เช่น Keepvid หรือผ่านสคริปต์จาก Greasemonkey โดยจะมีไฟล์เป็นนามสกุล .flv

การปิดกั้นข่าวสารในประเทศไทย

     ผู้ใช้ในประเทศไทยได้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ยูทูบ ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2550 หลังจากนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในขณะนั้น พยายามขอความร่วมมือหลายครั้ง ให้กูเกิลนำคลิปวิดีโอตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ออก แต่ถูกปฏิเสธโดยได้ให้เหตุผลว่าคลิปวิดีโออื่นที่โจมตีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช รุนแรงมากกว่านี้ ซึ่งคลิปวิดีโอดังกล่าว อัปโหลดโดยผู้ใช้ชื่อ paddidda เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550 มีผู้ชมไปแล้ว มากกว่า 16,000 ครั้ง และมีมากกว่า 500 ความคิดเห็นด้วยกัน  หลังจากที่ได้มีการออกข่าว จำนวนผู้ชมไปขึ้นไปถึงกว่า 66,553 ครั้งก่อนที่คลิปวิดีโอดังกล่าวจะถูกย้ายออกจากระบบ แม้ว่าคลิปวิดีโอได้ถูกเอาออกไปแล้ว แต่เว็บไซต์ยังคงถูกบล็อกต่อไป โดยนายสิทธิชัย โภไคยอุดมได้ให้เหตุผลว่ายังมีภาพตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์คงเหลืออยู่ และต้องการให้เอาออกทั้งหมด
ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้มีการยกเลิกการบล็อกเว็บไซต์ยูทูบ จนสามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่ยูทูบตกลงที่จะบล็อกวิดีโอที่มีการหมิ่นประมาทในไทยต่าง ๆ

การถูกลอกเลียนแบบ

      กลุ่มมุสลิมได้ตั้งเว็บไซต์คล้ายกับยูทูบชื่อ Aqsatube ขึ้น โดยคลิปส่วนมากนั้น เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นคำปราศรัยของมือระเบิดพลีชีพก่อนทำการก่อการร้าย
************************
      YouTube (ยูทูบ) เป็นเว็บไซต์แลกเปลี่ยนภาพวิดีโอที่มีชื่อเสียง(www.youtube.com) โดยในเว็บไซต์นี้ ผู้ใช้สามารถอัพโหลดภาพวิดีโอเข้าไป เปิดดูภาพวิดีโอที่มีอยู่ และแบ่งภาพวิดีโอ เหล่านี้ให้คนอื่นดูได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ใน YouTube จะมีข้อมูลเนื้อหารวมถึงคลิปภาพยนตร์สั้นๆ และคลิปที่มาจากรายการโทรทัศน์ มิวสิกวิดีโอ และวิดีโอบล็อกกิ้ง (ซึ่งเป็นการสร้างบล็อกโดยมีส่วนของข้อมูลที่เป็นภาพ วิดีโอเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะเป็นภาพวิดีโอที่เกิดจากมือสมัครเล่นถ่ายกันเอง) คลิปวิดีโอที่เผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ YouTube ส่วนมากเป็นไฟล์คลิปสั้นๆ ประมาณ 1 - 10 นาที ถ่ายทำโดยประชาชนทั่วไป แล้วอัพโหลดขึ้นสู่เว็บไซต์ของ YouTube โดยมีการแบ่งประเภทและจัดอันดับคลิปเอาไว้ด้วย เช่น ไฟล์ล่าสุด, ไฟล์ที่มีผู้ชมมากที่สุด, ไฟล์ที่ได้รับการโหวตมากที่สุด ฯลฯ

     YouTube เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการวิดีโอผ่านอินเทอร์เน็ตที่มียอดผู้ชมวิดีโอของทางเว็บไซต์ทะลุหลัก 100 ล้านครั้งต่อวัน หรือคิดเป็นราว 29 เปอร์เซ็นต์ของยอดการเปิดดูคลิปวิดีโอทั้งหมดในสหรัฐฯ ในแต่ละเดือนมีผู้อัพโหลดวิดีโอขึ้นเว็บกว่า 65,000 เรื่อง

     สถิติจาก Nielsen/NetRatings ซึ่งเป็นผู้นำวิจัยการตลาดและสื่่ออินเตอร์ระดับโลกระบุว่า ปัจจุบัน YouTube มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเดือนละ 20 ล้านคน นอกจากนี้ ในปี 2006 นิตยสารไทม์ ยกย่องให้เว็บไซต์ YouTube เว็บไซต์ให้บริการดาวน์โหลดไฟล์วิดีโอชื่อดัง เป็น "Invention of the Year" หรือรางวัลสิ่งประดิษฐ์แห่งปี อีกด้วย
ความเป็นมา

     เว็บไซต์ YouTube ก่อตั้งขึ้นวันที่ 14 เดือนกุมภาพันธ์ 2005 โดยมีอดีตพนักงานของ PayPal สามคนคือ Chad Hurley, Steve Chen และ Jawed Karim เป็นผู้ร่วมกันก่อตั้ง (ปัจจุบัน PayPal ถูก eBay ซึ้อไปแล้ว) แต่ต่อมา Jawed Karim ได้ออกจาก YouTube เพื่อไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย Standford YouTube มีสำนักงานตั้งอยู่ที่เมืองซานมาทีโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันมีพนักงานจำนวน 67 คน

     YouTube เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และได้รับความ สนใจเป็นอันมาก โดยเฉพาะการบอกแบบปากต่อปากที่ทำให้การเติบโตของ YouTube เป็นไปอย่างรวดเร็ว YouTube มาเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายต่อเนื่อง เมื่อมีการนำภาพวิดีโอช่วง Lazy Sunday ของรายการ Saturday Night Live มาแสดงบนเว็บ ซึ่งต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2006ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี (NBC) ก็ได้เรียกร้องให้ทาง YouTube เอาคลิปวิดีโอที่มีลิขสิทธิ์ทั้งหลายออกจากเว็บ ซึ่ง YouTube เองก็มีนโยบายที่จะไม่เอาคลิปที่ละเมิดลิขสิทธิ์มาแสดงเช่นกัน นั่นทำให้ต่อมา You Tube กำหนดนโยบายที่ชัดเจนขึ้นในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามกรณีพิพาทกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีก็ได้ทำให้ YouTube เป็นข่าวและเพิ่มความดังมากขึ้นไปอีก

     ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2006 google ได้ตกลงตัดสินใจเข้าซื้อ YouTube ด้วยมูลค่า 1,650 ล้านเหรียญสหรัฐ ในรูปแบบของการแลกเปลี่ยนหุ้น อย่างไรก็ตาม YouTube ก็ยังคงดำเนินกิจกรรม ของบริษัทไปตามปกติ โดยเป็นอิสระจากการควบคุมของ google การรวมกันของสองบริษัทนี้จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสบการณ์ที่ดีขึ้นและเข้าใจได้มากขึ้น สำหรับผู้ใช้ที่สนใจในการอัพโหลด การดูวิดีโอ และการแชร์ภาพวิดีโอ รวมถึงการนำเสนอโอกาสใหม่ๆ สำหรับผู้เป็นเจ้าของ ข้อมูล (content) ที่เป็นมืออาชีพที่จะนำเสนองานของพวกเขาไปสู่คนวงกว้าง

ที่มา : http://takato.exteen.com/20100618/youtube

ประวัติ google

   กูเกิล (Google Inc.) (แนสแด็ก: GOOG และ LSEGGEA) เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (31 ธันวาคม 2550) โดยกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550) 
กูเกิลก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย  และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก 
เมื่อ19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา เช่น กูเกิล ดีปไมด์ รวมถึงก่อตั้งบริษัทลูกอย่างกูเกิล เอ็กซ์กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วน
วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน สองผู้ก่อตั้งกูเกิล ได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ "แอลฟาเบต" (Alphabet) โดยมีแผนจะใช้บริษัทนี้เป็นบริษัทแม่แทน และลดขนาดองค์กรกูเกิลลงเพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ ต่อมาวันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน กูเกิลได้เปลี่ยนโลโก้บริษัทใหม่
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A5

         ประวัติ แลร์รี่ เพจ

แลร์รี่ เพจ
ที่มารูปภาพ: http://www.google.com/intl/th/about/corporate/company/
       แลร์รี่ เพจ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารของ google ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของ google และเป็นผู้นำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีของบริษัท แลร์รี่ เพจ เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Google ร่วมกับเซอร์เกย์บริน ในปี ค.ศ. 1998 ในช่วงที่ทั้งคู่ได้ศึกษาในระดับปริญญาเอก ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดย แลร์รี่ เพจ ดำรงตำแห่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนแรกของบริษัทตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001
ประวัติด้านการศึกษาของแลร์รี่ เพจ
      สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกนวิทยาเขตแอนอาร์เบอร์  ระดับปริญญาโทสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ความสำเร็จของชีวิต
       แลร์รี่ เพจ เป็นหนึ่งสมาชิกของคณะกรรมการที่ปรึกษาแห่งชาติ (National Advisory Committee NAC) แห่งวิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน และได้รับรางวัล Marconi Prize อันทรงเกียรติร่วมกับเซอร์เกย์ บริน ผู้ร่วมก่อตั้ง Google ในปี ค.ศ.2004
แลร์รี่ เพจ เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของคณะกรรมการในโครงการ X PRIZE และได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสถาบันวิศวกรรมแห่งชาติ (National Academy of Engineering) ในปี ค.ศ. 2004
         ประวัติเซอร์เกย์ บริน
เซอร์เกย์ บริน
ที่มารูปภาพ: http://www.google.com/intl/th/about/corporate/company/
      เซอร์เกย์ บริน เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Google ในปี ค.ศ. 1998 ร่วมกับแลร์รี่ เพจ ซึ่งเซอร์เกย์ บรินทำหน้าที่ควบคุมดูแลโครงการพิเศษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 โดยดำรงตำแหน่งประธานด้านเทคโนโลยี รับผิดขอบการปฏิบัติงานของบริษัทร่วมกับแลร์รี่ เพจ
ประวัติด้านการศึกษาของเซอร์เกย์ บริน
      เซอร์เกย์ บริน ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมสาขาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ที่คอลเลจพาร์ค ปัจจุบัน (ค.ศ.2011) เซอร์เกย์ บริน อยู่ระหว่างลาพักการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทจากที่นี่ เซอร์เกย์เป็นสมาชิกของสถาบันวิศวกรรมแห่งชาติ (National Academy of Engineering) และได้รับทุนวิจัยจาก National Science Foundation Graduate Fellowship
ความสำเร็จของชีวิต
       เซอร์เกย์มีผลงานทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้แก่ Extracting Patterns and Relations from the World Wide Web, Dynamic Data Mining: A New Architecture for Data with High Dimensionality ซึ่งเป็นผลงานร่วมกับแลร์รี่ เพจ, Scalable Techniques for Mining Casual Structures, Dynamic Itemset Counting and Implication Rules for Market Basket Data และ Beyond Market Baskets: Generalizing Association Rules to Correlation
ที่มา http://www.itdnake.com/google/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%






บุคคลที่มีชื่อเสียงด้าน IT



Dr. John V. Atanasoff ( ดร. จอห์น วี. อะทานาซอฟฟ์) (1903-1995 )



ผลงานเด่น : ABC ,คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรก
              
            จอห์น วี. อะทานาซอฟฟ์ (John V. Atanasoff) เกิดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.1903 ที่เมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ท่านเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้าเป็นคนแรก คือเครื่อง ABC เมื่อปี ค.ศ. 1937 (ก่อนหน้านี้เป็นคอมพิวเตอร์แบบเครื่องจักรกล) ในขณะนั้นเขาอาจไม่รู้ว่าผลงานของเขาจะมีบทบาทต่อชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ ในอนาคตมากมายขนาดนี้ เขาได้เปิดประตููสู่ยุคคอมพิวเตอร์ีให้กับคนรุ่นหลังได้พัฒนาต่อยอดมาจนกลายเป็น คอมพิวเตอร์ในปัจุบัน      ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1995

Bill Gates  บิล เกตส์


                  
                  ผลงานของบิลเกตส์ และบริษัทไมโครซอฟต์: ภาษาเบสิค ระบบปฏิบัติการดอส (DOS) ระบบปฏิบัิตการวินโดวส์ (Windows)
                 
                  บิล เกตส์ (Bill Gates) เกิดเมื่อปี 1955 ที่เมืองซีแอทเทิล กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เขาเป็นที่รู้จักดีในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ที่ครองตลาดผู้ใช้มากที่สุดคือบริษัทไมโครซอฟต์ และเป็นหนึ่งบุคคลที่รวยที่สุดในโลก ปัจจุบันเขาเป็นหัวหน้าบริษัท ซึ่งเขาได้ร่วมกับพอล อัลเลน (Paul Allen) ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1974 ด้วยวัยเพียง 19 ปี แต่พอล อัลเลนได้ออกไปทำธุรกิจของตนเองเมื่อปี 1983
                  
                การประสบความสำเร็จยังยิ่งใหญ่ของบริษัทไมโครซอฟต์ มาจากการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลายและบริษัทได้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่ออำนวยความสะดวกการใช้งานไมโครคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ (ดังชื่อบริษัท "Microsoft" มาจากคำว่า "microcomputer" + "software") เช่น ระบบปฏิบัติการ MS-DOS และ Windows รุ่นต่าง ๆ โปรแกรมเว็บราวเซอร์ IE (Internet Explorer) ภาษาเบสิค รวมถึงภาษา VB (Visual Basic) และอื่น ๆ อีกมากมาย


Steven Paul Jobs  สตีฟเวน พอล จ๊อบส์


เกิดวันที่ 24 ก.พ. 1955
ผลงาน: ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
           
           สตีฟเวน พอล จ๊อบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง (ร่วมกับ Steve Wozniak) บริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) นอกจากนี้เขาเป็นหัวหน้าบริษัท Pixar ซึ่งเป็นบริษัทสร้างภาพการ์ตูนเคลื่อนไหว (เช่น ภาพยนตร์แอนนิเมชันเรื่อง Monster Ink, Shark Tale)
แต่สิ่งสำคัญต่อวงการคอมพิวเตอร์ที่เขาได้บุกเบิกคือการสร้างคอมพิวเตอร์แอบเปิ้ล 2 (Apple II) เขาได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของการสั่งงานคอมพิวเตอร์ผ่านทางภาพ หรือ GUI (graphic user interface)ด้วยการใช้เมาส์ ซึ่งได้มีการใช้ครั้งแรกที่บริษัท Xerox PARC


Stephen Wozniak  สตีเฟน   วอซนิแอค


เกิดวันที่ 11 สิหาคม ปี 1950 ที่สหรัฐอเมริกา
ผลงาน: คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (personal computer : PC)
                
                สตีเฟน วอซนิแอค (Stephen Wozniak) เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลิตคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแอปเปิ้ล เขาได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ริเริ่มการสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาสามารถประดิษฐ์วิทยุเองตอนอายุ 11 ขวบ และประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ของเขาเองเครื่องแรกสองปีหลังจากนั้น เขาชอบประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นงานอดิเรกของเขา จนกระทั่งเขาพบกับสตีฟ จ๊อบส์ (Steve Jobs) และมีความเห็นตรงกันคือสร้างคอมพิวเตอร์ขายในราคาไม่แพงคงจะประสบความสำเร็จ เขาเปิดที่โรงรถที่บ้านของจ๊อบเป็นที่ออกแบบและสร้างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแม่แบบขึ้นมา และก่อตั้งบริษัทชื่อแอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์ขึ้นในปี 1976 ความสามารถของคอมพิวเตอร์จากบริษัทแอปเปิ้ลคือแสดงผลภาพกราฟฟิกได้ความละเอียดภาพสูง และยังมีตัวอ่านแผ่นดิสก์แบบบาง (floppy disk) อีกด้วย นอกจากนี้เขากับเพื่อนยังสร้างซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลโดยเฉพาะด้วย เช่น โปรแกรมวิสิแคลค์ จึงทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงนั้น


Tim Berners-Lee   ทิม เบอร์เนอร์ส- ลี


ผลงาน : พัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยี เวิร์ล ไวด์ เว็บ (World Wide Web : www)

              Tim Berners-Lee หรือ TBL เกิดเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 1955 เขาเป็นผู้ก่อตั้งเทคโนโลยี world wide web (www) หรือเรียกสั้น ๆ ว่าเว็บ (Web) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่จัดระเบียบข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตไว้เป็นหมวดหมู่ (บทเรียนที่ผู้เรียนกำลังเรียนอยู่นี้ก็เป็นเว็บครับ) ปัจจุบันนี้ (2005) Tim Berners-Lee เป็นผู้อำนวยการสมาคม World Wide Web Consortium หรือ W3C- http://www.w3.org สมาคมนี้มีขึ้นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีเว็บให้มีศักยภาพสูงสุด ด้วยการตั้งข้อกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ให้คำแนะนำ พัฒนา เทคโนโลยีใหม่ ๆ โปรแกรม เครื่องมืออำนวยความสะดวกในการใช้เว็บเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ต


Linus Torvalds แห่ง Linux


                ไลนัส ทอร์วัลด์ส ชาวฟินแลนด์ เกิดวันที่ 28 ธันวาคม 1969 เขาคือผู้คิดค้น ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์ (Linux) เนื่องจากขณะนั้นเขาอายุ 21 ปี ได้เข้าเรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ โดยหลังจากที่เขาซื้อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาใช้งาน กลับรู้สึกไม่ชอบระบบปฏิบัติการ (OS: operating system) ที่มีมากับเครื่องซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ MS-DOS ของบริษัทไมโครซอฟต์ เขาจึงตัดสินใจสร้างระบบปฏิบัติการขึ้นมาเองซึ่งคล้ายยูนิกซ์ แต่สามารถทำงานได้บนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เขาใช้เวลาหลายเดือนในการสร้างระบบปฏิบัติการนี้ขึ้นมาและตั้งชื่อว่าลีนุกซ์ (Linux) และแชร์รหัสโปรแกรมของระบบปฏิบัติการนี้ให้นักเขียนโปรแกรมอื่น ๆ ได้ศึกษาและพัฒนาต่อ กระทั่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากในอีก 8 ปีให้หลัง และทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หันมาใช้ระบบปฏิบัติการลีนุกซ์แทนวินโดวส์มากขึ้นอย่างรวดเร็ว




ขับเคลื่อนโดย Blogger.
 
Support : Creating Website | Johny Template | Mas Template
Copyright © 2011. บุคคลสำคัญในวงการ IT - All Rights Reserved
Template Created by Creating Website Published by Mas Template
Proudly powered by Blogger